วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันไป

ใน..สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาเราประสบปัญหากันหลายๆอย่าง ทั้งด้านการเรียน ด้านส่วนตัว แม้กระทั้งเรื่องของการเงิน แล้วสืบทอดไปถึงเรื่องของการมีแฟน ในนิยามของผมคือ ถ้ารักต้องเผื่อใจไว้เจ็บ มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ ความรู้สึกผมในระยะนี้ ไม่สิ ตลอดระยะเวลานี้พอใกล้ถึงวันเกิดทีไรก็จะต้องทีเรื่องให้ปวดหัวทุกที ทั้งเรื่องของตัวเอง และคนรอบข้างเสมอ ในอาทิตย์ที่ผ่านมามีเพื่อนหลายคนที่ต้องเลิกรากันไป ถ้าให้ผมรับรวมแล้ว ทั้งหมด 5 คู่ ทั้ง 5 คู่นี้ โดน ผญ บอกเลิกโดยไม่ทิ้งความใยดี ทั้งที่คบกันมา เปลี่ยนไปจากหน้ามือ กลายเป็นหลังตีนเลยก็ว่าได้ [ขออภัยที่ใช้คำที่ไม่สุภาพ] เนื่องจากสาเหตุอะไรบ้างอย่าง ก็คือ มือที่สามนั่นเอง ทุกคนเป็นเพื่อนของผม ที่ผ่านมายังเห็นพวกเขาร่าเริงอยู่ตลอดแต่อยู่ดีๆ กลับเศร้าซะอย่างงั้น ทั้งๆที่อาทิตย์นี้เป็นการสอบ Final แท้ๆ เขายังไม่กระตือรือร้นเลย ผมเข้าไปถาม แล้วได้เห็นหน้าเพื่อน น้อยคนนักที่จะเห็น ผช ร้องไห้เพราะทำใจไม่ได้ ทั้งๆที่ตอนคบกับ ก็ขั้นสถานะโสดบ้าง อยากโสดบ้าง ผมก็ไม่เข้าใจนัก แล้วเขาจะอยากมีไปทำไม ยิ่งผมเข้าไปถามเขา ก็ยิ่งทำให้ร้องให้มากขึ้น ผมก็ได้แต่ปลอบ ผมก็ปลอบไปว่า ถ้ารักแล้ว ต้องเผื่อใจให้เจ็บ ไม่ใช่รักทั้งร้อย เสียทั้งร้อย แล้วเราจะไม่ได้อะไรเลย เราต้องคิดว่าสิ่งที่ผ่านมาทำให้เราเรียนรู้ซึ่งกันและกัน อย่าเอาใจไปยึดติด ให้มากนักและเมื่อใดขเาหมดรักเรา เราจะเป็นคนที่ "ทรมาน" ที่สุดและรับไม่ได้ในการจากไป แต่ถ้าเราเริ่มที่จะทำใจได้แล้ว เพราะว่าการที่เราได้อยู่คนเดียว เราจะได้ยินเสียงของตัวเราเอง หรือที่เรียกว่า เสียงของหัวใจ มันเป็นการที่เราได้พูดคุยกับตัวเอง ว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นแบบนี้ดีแล้วเหรอ แล้วเราควรทำอย่างไรต่อไป การหักดิบนั่นก้เหมือนเรากระโดดลงมาจากบันใดที่สูง ถึงแม้มันจะเจ็บซักเพียงใด แต่มันก็เจ็บสุดๆแค่ครั้งเดียวเดี๋ยวก็หาย ต่างจากเราเดินลงบันใดทีละขั้น ถ้าสามารถเดินลงมามากกว่าครึ่งได้ก็ดีไป แต่ถ้าเดินลงมาไม่ถึงครึ่งมันส่วนอาจจะเจ็บอีกครั้งแล้วก็วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ วันที่แสนจะทรมาน ใน 1 วัน เวลากว่าจะผ่านไปนั้นมันช่างแสนที่จะยาวนานนับแรมปี ถ้าเรายังไม่สามารถรักตัวเองได้ เราก็ไม่ควรที่จะไปรักคนอื่นได้เช่นกัน.

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

เริ่มต้นไม่ดีนัก

           เช้ามาก็เริ่มต้นในการปรับปรุงตัวเองไม่ดีนัก เมื่อคืนนอนเช้าไปหน่อย เลยทำให้งัวเงีย อันที่จริงปลุกนาฬิกาแบบ 2 Step แบบว่าขอโกงเวลานิดหน่อย ปลุกตอน 7 โมง แล้วอีก Step หนึ่งคือ 7 โมงครึ่ง แต่พอตื่นขึ้นมามีเหตุการณ์ขึ้นคือ ฝนตก ก็เลยกลับมานอนต่อ แบบมีสตินะ แบบว่านอนเฉยๆแต่ไม่หลับ ที่ไหนได้ดันเผลอหลับซะได้ สะดุ้งตอนเพื่อนมาเาะห้องซะงั้น ลุกมาแบบงัวเงีย ตื่นมาแบบผมเพลารุงรัง หน้ามัน แบบสภาพตื่นนอนใหม่ๆ คิดดูว่ามันแย่ขนาดไหน ละวันนี้ก็เป็นวันปิดคอตเรียนซะด้วย พลาดละ อาจารย์แนวข้อสอบให้จะทำไงดี ก็ต้องแปลว่าเราต้องมาอ่านเองแล้ว งานเข้าเลย ใกล้ไฟนอลแล้วซินะต้องขยันอีกนิดหนึ่งเดี๋ยวก็จะได้พักกันแล้ว เอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้ ให้ผ่านไปได้ด้วยดี อีกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเองด้วย ถึงแม้การเริ่มต้นวันนี้มันอาจไม่ค่อยสวยซักเท่าไร แต่ผมก็จะพยายามขึ้น ๆ ๆ ๆ เข้าไปอีก ซักวันต้องเป็นวันของเรา

การเริ่มต้น

ตอนนี้เวลา 03.59 ของวันที่ 12/9/56 กำลังเริ่มต้นเขียน Blog เป็นครั้งแรก ก็เลยยังไม่รู้หัวข้อที่จะเขียนอะไรดี ก็เลยขอเกริ่นๆ เอาไว้ก่อน
         ณ.เวลานี้เหงามาก ง่วงนะแต่นอนไม่หลับ เพราะว่าเครียดงานส่งไม่ทันเพราะว่าเมื่อเช้าตื่นสาย เพราะว่ากำหนดส่งก่อน 11 โมง แต่ตื่น 11.30 สังเกตตัวเองมาระยะหนึ่ง สรุปได้ว่าขี้เกียจขึ้น สมองไม่สั่งงาน พอมีปัญหาที่ซับซ้อนเช่นการ บวก ลบเลข มันจะมึนงง เหมือนสมองไม่ได้รับสารกระตุ้นให้เรียนรู้ในการคิดแก้ไขปัญหา ผมต้องหาวิธีแก้ไข ปรับปรุงตัวเองซะใหม่ ไม่งั้นคงทำความฝันไม่เป็นความจริงแน่ คงได้แค่เป็นคนที่คุย แค่ฝันและจินตนาการไปเท่านั้น ต้องเริ่มทำตั้งแต่บัดนี้ เปลี่ยนกิจวัตรประจำวันของตนเองซะใหม่ ดูแลตัวเอง หมั่นออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ฝึกสมองให้คิดซับซ้อน และที่ขาดไม่ได้คือ ความมุ่งมัน มานะ และความรับผิดชอบต่อตนเอง